การฟอกสีฟัน หรือฟอกฟันขาวคือ การเปลี่ยนสีฟันที่ขุ่นหมองให้กลับมาขาวสดใสโดยใช้ผลิตภัณฑ์ หรือสารต่างๆ สำหรับฟอกสีฟัน เช่น ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (Hydrogenperoxide) ไปทำปฏิกิริยาทำให้สารที่เคลือบบนฟัน หรือในเนื้อฟันแตกตัวออกและทำให้ฟันดูขาวขึ้น โดยไม่ส่งผลต่อเคลือบฟันและโครงสร้างของฟัน
การฟอกสีฟันจึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีฟันเหลือง หรือฟันสีคล้ำ ขุ่น ที่ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุมาจากคราบฟัน หรือเป็นสีฟันธรรมชาติ และยังเป็นวิธีที่สามารถทำเองได้ที่บ้าน หรือไปทำที่คลินิกทันตกรรมก็ได้
ฟันเหลืองเกิดจากอะไร
สาเหตุที่ทำให้ฟันเหลือง คล้ำ หรือขุ่นหมอง เกิดได้ทั้งจากปัจจัยภายในตัวฟัน (Intrinsic) และปัจจัยภายนอกตัวฟัน (Extrinsic)
- ปัจจัยภายในตัวฟัน เช่น ฟันตายทำให้ไม่มีเลือดและประสาทมาหล่อเลี้ยง ฟันจึงมีสีทึบ หรือมีการสะสมของสารมีสีขณะสร้างฟัน ทำให้ฟันมีสีขุ่นโดยธรรมชาติ การได้รับยาบางชนิดในช่วงวัยเด็ก การเป็นโรคที่ส่งผลต่อความผิดปกติของโครงสร้างฟัน
- ปัจจัยภายนอกตัวฟัน เช่น ได้รับอุบัติเหตุที่ฟัน เช่น การกระแทก มีการสะสมของคราบ หรือสีบนฟัน ซึ่งเกิดจากพฤติกรรมต่างๆ ได้แก่
- การทำความสะอาดช่องปากไม่ดีพอ หลังการรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม เช่น แปรงฟันไม่สะอาด ทำให้มีคราบอาหาร แบคทีเรีย และหินปูนสะสมบนเนื้อฟัน
- การรับประทานอาหารที่มีสี เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม ไวน์ ลูกอม
- การสูบบุหรี่เป็นประจำ
- การรับยาบางชนิดเป็นเวลานาน เช่น กลุ่มยาเตตระไซคลิน (Tetracycline)
- การมีอายุมากขึ้น ทำให้เกิดการสะสมของเม็ดสีในเนื้อฟัน
สาเหตุที่กล่าวมานี้ทำให้ฟันเหลือง ไม่สดใส แม้จะเป็นปัญหาที่แก้ไขได้ยาก แต่เราสามารถเปลี่ยนสีฟันให้กลับมาขาวสดใสและมีรอยยิ้มที่มั่นใจได้ด้วยการฟอกสีฟัน อย่างไรก็ดี การฟอกสีฟันไม่มีผลต่อวัสดุอุดเดิมและครอบฟันเดิม ฉะนั้นเมื่อฟอกสีฟันแล้ว หากต้องการความสวยงามควรเปลี่ยนวัสดุเหล่านั้นให้มีสีเหมือนฟันที่ฟอกแล้ว
การฟอกสีฟันขาวมีกี่วิธี
การฟอกฟันขาวแบ่งได้เป็น 5 วิธี ได้แก่
1. การฟอกสีฟันที่คลินิกโดยทันตแพทย์ (In-office power bleaching)
เป็นวิธีฟอกสีฟันที่เห็นผลลัพธ์ชัดเจน จะต้องทำที่คลินิกโดยทันตแพทย์เท่านั้น เนื่องจากต้องใช้น้ำยาฟอกสีฟันที่มีส่วนผสมของสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์เข้มข้นสูง ประมาณ 35% ซึ่งคลินิกทันตกรรมแต่ละแห่งอาจมีเครื่องมือและเทคโนโลยีต่างกันไป เช่น
- ฟอกสีฟันด้วยเทคโนโลยี Zoom เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานแสงสีฟ้าชนิดเข้มข้นมากระตุ้นการทำงานของน้ำยาฟอกฟันด้วย ทำให้สารในน้ำยาฟอกฟันแทรกซึมเข้าสู่ชั้นผิวฟันและกำจัดคราบ หรือเม็ดสีบนเนื้อฟันได้ดีขึ้นโดยไม่ทำลายโครงสร้างของฟัน
- การฟอกสีฟันแบบเลเซอร์ เทคโนโลยีที่ใช้ลำแสงเลเซอร์ ซึ่งเป็นแสงที่มีความยาวคลื่นเฉพาะ และมีความร้อนต่ำมาก มากระตุ้นประสิทธิภาพของน้ำยาฟอกสีฟันให้ทำงานได้ดีขึ้น
- ฟอกสีฟันด้วยเทคโนโลยี Cool Light เป็นการใช้แสง “แสงเย็น” ซึ่งเป็นแสง LED ไปกระตุ้นประสิทธิภาพของน้ำยาฟอกสีฟันให้สามารถแทรกซึมเข้าไปในผิวฟัน และทำปฏิกิริยาให้เม็ดสีบนเนื้อฟันเกิดการแตกตัวได้ดีขึ้น
2. การฟอกสีฟันด้วยตัวเองที่บ้าน (At-home bleaching)
เป็นการฟอกสีฟันที่บ้านซึ่งทำได้ด้วยตัวเอง โดยทั่วไปจะใช้สารฟอกสีฟันเป็นไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ความเข้มข้นต่ำ ประมาณ 10% ร่วมกับการใช้อุปกรณ์อื่นๆ เช่น ไซริงค์ หรือถาดครอบฟันที่พิมพ์โดยทันตแพทย์ อย่างไรก็ตาม การฟอกสีฟันด้วยตัวเองอาจมีความเสี่ยงจึงควรปรึกษาทันตแพทย์ก่อนเสมอ
3. การฟอกสีฟันที่คลินิกร่วมกับทำด้วยตัวเอง (In-office assisted bleaching)
เป็นการฟอกสีฟันที่คลินิกร่วมกับทำด้วยตนเองใช้ในกรณีที่สีฟันเริ่มต้นเหลือง หรือเข้มมาก ทันตแพทย์จะเริ่มจากการใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์เข้มข้นสูง เพื่อให้ฟันขาวขึ้นในระดับหนึ่ง จากนั้นจึงใช้วิธีฟอกสีฟันเองที่บ้านโดยใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ที่มีความเข้มข้นต่ำ สลับกันไปจนฟันขาวสดใสตามต้องการ
4. การฟอกสีฟันด้วยผลิตภัณฑ์ฟอกสีฟันสำเร็จรูปทั่วไป (Over-the-counter bleaching)
เป็นการใช้ผลิตภัณฑ์ฟอกสีฟันสำเร็จรูปซึ่งมีวางจำหน่ายทั่วไป ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะมีไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ความเข้มข้นต่ำเป็นส่วนประกอบ เช่น เจลฟอกสีฟัน ยาสีฟัน และน้ำยาบ้วนปากสำหรับฟันขาว ซึ่งสามารถหาซื้อมาใช้เองได้โดยไม่ต้องปรึกษาทันตแพทย์ก่อน
5. การฟอกสีฟันเฉพาะซี่ (Walking bleaching)
เป็นการฟอกสีฟันเฉพาะซี่ซึ่งใช้ในกรณีที่ฟันตาย ทันตแพทย์จะใส่สารฟอกสีฟันเข้าไปในตัวฟันซี่นั้นๆ และปิดช่องทางเข้า สารฟอกสีฟันจะช่วยให้ฟันซี่ดังกล่าวค่อยๆ ขาวขึ้นเรื่อยๆ หากฟันยังมีสีคล้ำอยู่ก็สามารถเติมสารฟอกสีฟันเข้าไปเพิ่มได้
การเลือกวิธีฟอกสีฟันนั้นจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สุขภาพฟัน สีของเนื้อฟัน และทุนทรัพย์ เป็นต้น สำหรับผู้ที่อยากมีฟันขาวใสสุขภาพดีก็ควรเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวเอง ควรศึกษาข้อดีข้อเสียของแต่ละวิธีก่อนทำ เพื่อที่จะได้ฟอกสีฟันอย่างมีประสิทธิภาพ และเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจน
ผลข้างเคียงจากการฟอกสีฟัน
- มีอาการเสียวฟัน เป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุด ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงแรก และมีอาการอยู่ประมาณ 1–3 วัน จึงค่อยๆ หายไป อาการเสียวฟันเกิดจากน้ำยาฟอกสีฟันไปทำให้เม็ดสีของฟันแตกตัวออกเป็นโมเลกุลเล็กๆ ทำให้เนื้อฟันถูกดึงน้ำออกไปด้วย และไปกระตุ้นปลายประสาทในเนื้อฟันที่ไวต่ออุณหภูมิทำให้รู้สึกเสียวฟัน
- เหงือกเป็นแผล หากน้ำยาฟอกสีฟันสัมผัสบริเวณเหงือกอาจทำให้เกิดแผลได้
การดูแลหลังการฟอกสีฟัน
- ทำความสะอาดช่องปากตามปกติด้วยการแปรงฟัน ใช้ไหมขัดฟัน และบ้วนปากเป็นประจำ อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
- อาจใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของโพแทสเซียมไนเตรต เพื่อป้องกันอาการเสียวฟันด้วย
- หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่ทำให้เกิดสีและคราบบนฟัน เช่น ชา กาแฟ ไวน์ ซอส ลูกอม หากจำเป็นต้องดื่มเครื่องดื่มดังกล่าวควรใช้หลอดดูดแทนการดื่มจากแก้ว
- งดรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว และอาหารที่ร้อน หรือเย็นเกินไป
- งดสูบบุหรี่อย่างน้อย 1 สัปดาห์ หลังการฟอกสีฟัน
- หากมีอาการเสียวฟันมากสามารถรับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการได้
วิธีป้องกันการเกิดคราบฟัน
การฟอกสีฟันไม่ได้ทำให้ฟันขาวถาวร แต่ฟันที่ผ่านการฟอกจะมีสีคล้ำขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป โดยเฉพาะเมื่อเกิดคราบสะสมบนฟัน ดังนั้นเราควรมีวิธีป้องกันการเกิดคราบฟันเพื่อให้ฟันขาวสดใสอยู่กับเรายาวนานได้ดังนี้
- ทำความสะอาดฟันและช่องปากให้ดีอยู่เสมอ โดยการแปรงฟันอย่างถูกวิธีอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ใช้ไหมขัดฟัน และบ้วนปากด้วยน้ำเกลือ หรือน้ำยาบ้วนปากที่มีฟลูออไรด์ เพื่อลดการสะสมของคราบหินปูนและแบคทีเรียบนเนื้อฟัน
- ลดการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่ทำให้เกิดราบบนฟัน เช่น ชา กาแฟ ลูกอม
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
- พบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพฟันอย่างน้อยปีละ 1 – 2 ครั้ง*
****************************************************************************************************************************************************************************************************
อย่างไรแล้วหมั่นเช็คสภาพช่องปากและฟันด้วยนะคะ การฟอกสีฟันไม่ใช่กระบวนการตามธรรมชาติจึงมีโอกาศเกิดผลข้างเคียงได้ดังที่กล่าวมา จึงควรศึกษาก่อนตัดสินใจฟอกสีฟันเพื่อให้มั่นใจว่า จะมีสีฟันที่ขาวดั่งต้องการ ปลอดภัยต่อฟันและช่องปากจริงๆ
ด้วยความปรารถนาดีจาก คลินิกทันตกรรมโยซึบะ(❁´◡`❁)
เครดิต honestdocs